ลองค้นหาคำในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์มากขึ้นหรือน้อยลง: เกิดผล, -เกิดผล- |
มีผลลัพธ์ที่ไม่แสดงผลอยู่ เกิดผล | (v) be effective, See also: take effect, yield result, bear fruit, Ant. ไร้ผล, ไม่เป็นผล, Example: การเสี่ยงภัยที่แท้จริงเกิดผล 2 ทาง คือ ขาดทุน และเสมอตัว, Thai Definition: บังเกิดผล, ปรากฏผล | บังเกิดผล | (v) succeed, See also: be successful, come off, take effect, work, Syn. เกิดผล, สำเร็จ, เป็นผล, Ant. ไม่สำเร็จ, ไม่เกิดผล, ไม่ได้ผล, Example: ความพยายามของผมเริ่มบังเกิดผลบ้างแล้ว |
| กระทำ ๑ | ทำการใด ๆ ที่เกิดผลในทางกฎหมาย แต่การงดเว้นการกระทำใด ๆ ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องกระทำ ก็ถือว่าเป็นการกระทำด้วย เช่น บิดามารดามีหน้าที่ดูแลบุตรซึ่งยังเล็กอยู่ การที่บิดามารดาอยู่เฉยไม่หาอาหารให้ ก็อาจถือว่าเป็นการกระทำได้. | จดทะเบียน | ก. ลงบันทึกข้อความไว้กับทางราชการเพื่อให้การใดเกิดผล บังคับกันได้ ได้รับการคุ้มครอง หรือเป็นหลักฐานตามที่กฎหมายกำหนด เช่น จดทะเบียนรถยนต์ จดทะเบียนสมรส จดทะเบียนหุ้นส่วนและบริษัท จดทะเบียนเครื่องจักร. | ใช้ | เอามาทำให้เกิดผลหรือประโยชน์ เช่น ใช้เวลา ใช้เรือ ใช้รถ | ดอก ๑ | น. ส่วนหนึ่งของต้นไม้ที่ผลิออกจากต้นหรือกิ่ง มีหน้าที่ทำให้เกิดผลและเมล็ดเพื่อสืบพันธุ์ มีเกสรและเรณูเป็นเครื่องสืบพันธุ์ | ตบมือข้างเดียวไม่ดัง | ก. ทำอะไรฝ่ายเดียวไม่เกิดผล. | บรรสพ | (บัน-) ก. เกิดผล, ได้. | บังฟัน | ก. ใช้เวทมนตร์ไปทำร้ายผู้อื่นด้วยวิธีเอาดาบเป็นต้นฟันสิ่งที่สมมุติเป็นตัวผู้ที่ตนประสงค์จะทำร้าย เพื่อให้เกิดผลเป็นทำนองเดียวกันแก่ผู้นั้น. | ประสพ | (ปฺระสบ) น. การเกิดผล. | ประสิทธิภาพ | น. ความสามารถที่ทำให้เกิดผลในการงาน. | ปัจจัย | น. เหตุอันเป็นทางให้เกิดผล, หนทาง, เช่น การศึกษาเป็นปัจจัยให้เกิดความรู้ความสามารถ, องค์ประกอบ, ส่วนประกอบ, เช่น ปัจจัยในการผลิต, คำ “ปัจจัย” กับ คำ “เหตุ” มักใช้แทนกันได้ | มายาการ | น. ความเชื่อถือและการปฏิบัติที่มุ่งให้เกิดผลด้วยการใช้พลังหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่นของขลัง พิธีกรรม หรือหลักลี้ลับ บังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ. | ยาเสพติดให้โทษ | น. สารเคมีหรือวัตถุชนิดใด ๆ รวมทั้งพืช ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย แล้วทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะสำคัญ เช่นต้องเพิ่มขนาดการเสพขึ้นเป็นลำดับ มีอาการถอนยาเมื่อขาดยา. | เล่นสกปรก | ก. กระทำสิ่งที่ไม่สุจริต ใช้เล่ห์อุบายให้เกิดผลร้ายแก่ผู้อื่นหรือทำลายฝ่ายตรงข้าม. | เวท, เวท- | ชื่อคัมภีร์ภาษาสันสกฤตโบราณซึ่งเป็นพื้นฐานของศาสนาพราหมณ์ยุคแรก มี ๔ คัมภีร์ ได้แก่ ๑. ฤคเวท ว่าด้วยบทสวดสรรเสริญเทพเจ้าทั้งหลาย ตอนท้ายกล่าวถึงการสร้างโลก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบความเชื่อของชาวอินเดีย ๒. ยชุรเวท ว่าด้วยรายละเอียดการประกอบยัญพิธีและลำดับมนตร์ที่นำมาจากคัมภีร์ฤคเวทเพื่อสวดในขั้นตอนต่าง ๆ ของพิธี ๓. สามเวท ว่าด้วยบทขับที่คัดเลือกมาจากประมาณหนึ่งในหกของฤคเวท และใช้เฉพาะในพิธีที่บูชาด้วยน้ำโสม ๔. อถรรพเวท หรือ อาถรรพเวท เป็นเวทมนตร์คาถาเพื่อให้เกิดผลดีแก่ฝ่ายตนหรือผลร้ายแก่ฝ่ายศัตรู ตลอดจนการบันดาลสิ่งที่เป็นมงคลหรืออัปมงคล การทำเสน่ห์ การรักษาโรค และอื่น ๆ สามคัมภีร์แรกเรียกว่า ไตรเวท หรือ ไตรเพท ต่อมารับอถรรพเวทหรืออาถรรพเวทเข้ามารวมเป็นสี่คัมภีร์เรียกว่า จตุรเวท หรือ จตุรเพท, เรียกยุคแรกของศาสนาพราหมณ์จนถึงประมาณสมัยพุทธกาลว่า ยุคพระเวท มีวรรณกรรมหลักประกอบด้วยคัมภีร์พระเวท คัมภีร์พราหมณะ คัมภีร์อารัณยกะและคัมภีร์อุปนิษัทรุ่นแรก. | เสร็จ | เกิดผลร้าย เช่น ขืนเสนอเรื่องนี้ขึ้นไป มีหวังเสร็จแน่. | เหตุ | (เหด) น. สิ่งหรือเรื่องที่ทำให้เกิดผล, เค้ามูล, เรื่อง | ออกดอกออกผล | ก. ทำให้เกิดผลประโยชน์หรือกำไรเพิ่มพูนขึ้น. |
|
| | Stochastic effect of radiation | ผลไม่ชัดเจน , ผลของรังสีที่คาดคะเนจากข้อมูลทางสถิติของผู้ที่ได้รับรังสี โดยโอกาสเกิดผลกระทบจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับปริมาณรังสี แต่ความรุนแรงของผลกระทบไม่ขึ้นกับปริมาณรังสี เช่น โอกาสของการเกิดมะเร็งจะเพิ่มขึ้นเมื่อได้รับปริมาณรังสีสูงขึ้น [นิวเคลียร์] | Roentgen equivalent man | หน่วยเดิมที่ใช้วัดปริมาณรังสีสมมูล, เป็นผลคูณระหว่างปริมาณรังสีดูดกลืนที่มีหน่วยเป็นแร็ด กับค่าปรับเทียบที่แตกต่างกันตามชนิดและพลังงานของรังสี (อาร์บีอี) สำหรับรังสีเอกซ์หรือแกมมา ค่าปรับเทียบมีค่าใกล้เคียงกับ 1 (ในทางปฏิบัติใช้ค่า 1) นั่นคือ เมื่อรังสีก่อไอออนชนิดใดก็ตามที่ก่อให้เกิดผลทางชีวภาพต่อเซลล์ที่มีชีวิตเทียบเท่ากับการรับรังสีเอกซ์หรือแกมมา 1 แร็ด เรียกว่าได้รับปริมาณรังสีสมมูล 1 เรม ปัจจุบันหน่วยเรมนี้ใช้หน่วยซีเวิร์ตแทน โดย 1 ซีเวิร์ตเท่ากับ 100 เรม (ดู equivalent dose, H$_T$ และ sievert, Sv ประกอบ) [นิวเคลียร์] | Radioprotector | สารลดผลของรังสี, สารหรือยาลดประสิทธิภาพของรังสีในการทำลายเซลล์ เช่น สารประกอบที่มีกลุ่มซัลฟ์ไฮดริล (sulfhydryl, -SH) ทั้งนี้เซลล์จะต้องมีสารกลุ่มนี้อยู่ในขณะที่ได้รับรังสีจึงจะเกิดผลในการป้องกันการทำลายเซลล์ ถึงแม้เซลล์ได้รับสารนี้ในทันทีหลังการได้รับรังสี ก็จะไม่มีผลในการป้องกันใดๆ [นิวเคลียร์] | Oxygen enhancement ratio | อัตราส่วนการเสริมผลของออกซิเจน, โออีอาร์, อัตราส่วนเปรียบเทียบปริมาณรังสีที่มีผลต่อเซลล์หรือสิ่งมีชีวิตเมื่อไม่มีและมีออกซิเจน ที่ก่อให้เกิดผลทางชีววิทยาเหมือนกัน ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน <br> OER = ปริมาณรังสีเมื่อไม่มีออกซิเจน / ปริมาณรังสีเมื่อมีออกซิเจน </br> <br>(ดู radiosensitizer ประกอบ)</br>, Example: [นิวเคลียร์] | Relative Biological Effect | ผลทางชีววิทยาสัมพัทธ์, การเปรียบเทียบปริมาณรังสีของรังสีชนิดหนึ่งกับรังสีเอกซ์ 250 กิโลอิเล็กตรอนโวลต์ หรือรังสีแกมมาจากต้นกำเนิดรังสีโคบอลต์-60 ที่ก่อให้เกิดผลทางชีววิทยาเหมือนกัน ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน $ RBE = \frac{ ปริมาณรังสีจากรังสีเอกซ์ 250 กิโลอิเล็กตรอนโวลต์ หรือรังสีแกมมาจากโคบอลต์-60 }{ ปริมาณรังสีจากรังสีชนิดอื่น } $ [นิวเคลียร์] | Convention on Prohibitions or Restrictions on the Use od Certain Conventional Weapons Which May Be Deemed to Be Excessively Inju | Convention on Prohibitions or Restrictions on the Use od Certain Conventional Weapons Which May Be Deemed to Be Excessively Injurious or to Have Indiscriminate Effects = อนุสัญญาห้ามอาวุธตามแบบบางชนิดที่ก่อให้เกิดการบาด เจ็บร้ายแรงเกินความจำเป็นหรือก่อให้เกิดลโดยไม่จำกัดเป้าหมาย มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการห้ามหรือหารจำกัดการใช้อาวุธตามแบบบางชนิดที่ก่อให้ เกิดผลกระทบร้ายแรงด้านมนุษยธรรม โดยสาระสำคัญของการ คอบคุมอาวุธตามแบบแต่ละชนิดจะถูกกำหนดไว้ในพิธีสารแต่ละฉบับต่างหาก ซึ่งในชั้นนี้ มีพิธีสาร 5 ฉบับ และรัฐต่างๆ สามารถเลือกยอมรับพิธีสารต่อท้ายอนุสัญญาฯ ฉบับใดก็ได้อย่างน้อยจำนวน 2 ฉบับ [การทูต] | Gorbachev doctrine | นโยบายหลักของกอร์บาชอฟ เป็นศัพท์ที่สื่อมวลชนของประเทศฝ่ายตะวันตกบัญญัติขึ้น ในตอนที่กำลังมีการริเริ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของโซเวียตในด้านความร่วมมือระหว่างประเทศอภิมหา อำนาจตั้งแต่ ค.ศ. 1985 เป็นต้นมา ภายใต้การนำของ นายมิคาอิล กอร์บาชอฟ ในระยะนั้น โซเวียตเริ่มเปลี่ยนทิศทางของสังคมภายในประเทศใหม่ โดยยึดหลักกลาสนอสต์ (Glasnost) ซึ่งหมายความว่า การเปิดกว้าง รวมทั้งหลักเปเรสตรอยก้า (Perestroika) อันหมายถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ในช่วงปี ค.ศ. 1985 ถึง 1986 บุคคลสำคัญชั้นนำของโซเวียตผู้มีอำนาจในการตัดสินใจนี้ ได้เล็งเห็นและสรุปว่าการที่ประเทศพยายามจะรักษาสถานภาพประเทศอภิมหาอำนาจ และครองความเป็นใหญ่ในแง่อุดมคติทางการเมืองของตนนั้นจำต้องแบกภาระทาง เศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง แต่ประโยชน์ที่จะได้จริง ๆ นั้นกลับมีเพียงเล็กน้อย เขาเห็นว่า แม้ในสมัยเบรสเนฟ ซึ่งได้เห็นความพยายามอันล้มเหลงโดยสิ้นเชิงของสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม การปฏิวัติทางสังคมนิยมที่เกิดขึ้นในแองโกล่า โมซัมบิค และในประเทศเอธิโอเปีย รวมทั้งกระแสการปฏิวัติทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในแถบประเทศละตินอเมริกา ก็มิได้ทำให้สหภาพโซเวียตได้รับประโยชน์ หรือได้เปรียบอย่างเห็นทันตาแต่ประการใด แต่กลับกลายเป็นภาระหนักอย่างยิ่งเสียอีก แองโกล่ากับโมแซมบิคกลายสภาพเป็นลูกหนี้อย่างรวดเร็ว เอธิโอเปียต้องประสบกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างสาหัส และการที่โซเวียตใช้กำลังทหารเข้ารุกรานประเทศอัฟกานิสถานเมื่อปี ค.ศ. 1979 ทำให้ระบบการทหารและเศรษฐกิจของโซเวียตต้องเครียดหนักยิ่งขึ้น และการเกิดวิกฤตด้านพลังงาน (Energy) ในยุโรปภาคตะวันออกระหว่างปี ค.ศ. 1984-1985 กลับเป็นการสะสมปัญหาที่ยุ่งยากมากขึ้นไปอีก ขณะเดียวกันโซเวียตตกอยู่ในฐานะต้องพึ่งพาอาศัยประเทศภาคตะวันตกมากขึ้นทุก ขณะ ทั้งในด้านวิชาการทางเทคโนโลยี และในทางโภคภัณฑ์ธัญญาหารที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตของพลเมืองของตน ยิ่งไปกว่านั้น การที่เกิดการแข่งขันกันใหม่ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์กับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะแผนยุทธการของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า SDI (U.S. Strategic Defense Initiative) ทำให้ต้องแบกภาระอันหนักอึ้งทางการเงินด้วยเหตุนี้โซเวียตจึงต้องทำการ ประเมินเป้าหมายและทิศทางการป้องกันประเทศใหม่ นโยบายหลักของกอร์บาซอฟนี่เองทำให้โซเวียตต้องหันมาญาติดี รวมถึงทำความตกลงกับสหรัฐฯ ในรูปสนธิสัญญาว่าด้วยกำลังนิวเคลียร์ในรัศมีปานกลาง (Intermediate Range Force หรือ INF) ซึ่งได้ลงนามกันในกรุงวอชิงตันเมื่อปี ค.ศ. 1987เหตุการณ์นี้ถือกันว่าเป็นมาตรการที่มีความสำคัญที่สุดในด้านการควบคุม ยุทโธปกรณ์ตั้งแต่เริ่มสงครามเย็น (Cold War) ในปี ค.ศ. 1946 เป็นต้นมา และเริ่มมีผลกระทบต่อทิศทางในการที่โซเวียตเข้าไปพัวพันกับประเทศ อัฟกานิสถาน แอฟริกาภาคใต้ ภาคตะวันออกกลาง และอาณาเขตอ่าวเปอร์เซีย กอร์บาชอฟถึงกับประกาศยอมรับว่า การรุกรานประเทศอัฟกานิสถานเป็นการกระทำที่ผิดพลาด พร้อมทั้งถอนกองกำลังของตนออกไปจากอัฟกานิสถานเมื่อปี ค.ศ. 1989 อนึ่ง เชื่อกันว่าการที่ต้องถอนทหารคิวบาออกไปจากแองโกล่า ก็เป็นเพราะผลกระทบจากนโยบายหลักของกอร์บาชอฟ ซึ่งได้เปลี่ยนท่าทีและบทบาทใหม่ของโซเวียตในภูมิภาคตอนใต้ของแอฟริกานั้น เอง ส่วนในภูมิภาคตะวันออกกลาง นโยบายหลักของกอร์บาชอฟได้เป็นผลให้ นายเอ็ดวาร์ด ชวาดนาเซ่ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากนายกอร์บาชอฟ เริ่มแสดงสันติภาพใหม่ๆ เช่น ทำให้โซเวียตกลับไปรื้อฟื้นสัมพันธภาพทางการทูตกับประเทศอิสราเอล ทำนองเดียวกันในเขตอ่าวเปอร์เซีย โซเวียตก็พยายามคืนดีด้านการทูตกับประเทศอิหร่าน เป็นต้นการเปลี่ยนทิศทางใหม่ทั้งหลายนี้ ถือกันว่ายังผลให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายภายในประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและ ด้านสังคมของโซเวียต อันสืบเนื่องมาจากนโยบาย Glasnost and Perestroika ที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเองในที่สุด เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ก็ได้นำไปสู่การล่มสลายอย่างกะทันหันของสหภาพ โซเวียตเมื่อปี ค.ศ. 1991 พร้อมกันนี้ โซเวียตเริ่มพยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลง รวมทั้งปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองของประเทศให้ทันสมัยอย่างขนานใหญ่ นำเอาทรัพยากรที่ใช้ในด้านการทหารกลับไปใช้ในด้านพลเรือน พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดจิตใจ (Spirit) ของการเป็นมิตรไมตรีต่อกัน (Détente) ขึ้นใหม่ในวงการการเมืองโลก เห็นได้จากสงครามอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งโซเวียตไม่เล่นด้วยกับอิรัก และหันมาสนับสนุนอย่างไม่ออกหน้ากับนโยบายของประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรนัก วิเคราะห์เหตุการณ์ต่างประเทศหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่า การที่เกิดการผ่อนคลาย และแสวงความเป็นอิสระในยุโรปภาคตะวันออกอย่างกะทันหันนั้น เป็นผลจากนโยบายหลักของกอร์บาชอฟโดยตรง คือเลิกใช้นโยบายของเบรสเนฟที่ต้องการให้สหภาพโซเวียตเข้าแทรกแซงอย่างจริง จังในกิจการภายในของกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก กระนั้นก็ยังมีความรู้สึกห่วงใยกันไม่น้อยว่า อนาคตทางการเมืองของกอร์บาชอฟจะไปได้ไกลสักแค่ไหน รวมทั้งความผูกพันเป็นลูกโซ่ภายในสหภาพโซเวียตเอง ซึ่งยังมีพวกคอมมิวนิสต์หัวรุนแรงหลงเหลืออยู่ภายในประเทศอีกไม่น้อย เพราะแต่เดิม คณะพรรคคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตนั้น เป็นเสมือนจุดรวมที่ทำให้คนสัญชาติต่าง ๆ กว่า 100 สัญชาติภายในสหภาพ ได้รวมกันติดภายในประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือมีพื้นที่ประมาณ 1 ใน 6 ส่วนของพื้นที่โลก และมีพลเมืองทั้งสิ้นประมาณ 280 ล้านคนจึงสังเกตได้ไม่ยากว่า หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายไปแล้ว พวกหัวเก่าและพวกที่มีความรู้สึกชาตินิยมแรง รวมทั้งพลเมืองเผ่าพันธุ์ต่างๆ เกิดความรู้สึกไม่สงบ เพราะมีการแก่งแย่งแข่งกัน บังเกิดความไม่พอใจกับภาวะเศรษฐกิจที่ตนเองต้องเผชิญอยู่ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้จักรวรรดิของโซเวียตต้องแตกออกเป็นส่วน ๆ เช่น มีสาธารณรัฐที่มีอำนาจ ?อัตตาธิปไตย? (Autonomous) หลายแห่ง ต้องการมีความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่กับรัสเซีย เช่น สาธารณรัฐยูเกรน ไบโลรัสเซีย มอลดาเวีย อาร์เมเนีย และอุสเบคิสถาน เป็นต้น แต่ก็เป็นการรวมกันอย่างหลวม ๆ มากกว่า และอธิปไตยที่เป็นอยู่ขณะนี้ดูจะเป็นอธิปไตยที่มีขอบเขตจำกัดมากกว่าเช่นกัน โดยเฉพาะสาธารณรัฐมุสลิมในสหภาพโซเวียตเดิม ซึ่งมีพลเมืองรวมกันเกือบ 50 ล้านคน ก็กำลังเป็นปัญหาต่อเชื้อชาติสลาฟ และการที่พวกมุสลิมที่เคร่งครัดต่อหลักการเดิม (Fundamentalism) ได้เปิดประตูไปมีความสัมพันธ์อันดีกับประะเทศอิหร่านและตุรกีจึงทำให้มีข้อ สงสัยและครุ่นคิดกันว่า เมื่อสหภาพโซเวียตแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ ดังนี้แล้ว นโยบายหลักของกอร์บาชอฟจะมีทางอยู่รอดต่อไปหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถกเถียงและอภิปรายกันอยู่พักใหญ่และแล้ว เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1991 ก็ได้เกิดความพยายามที่จะถอยหลังเข้าคลอง คือกลับนโยบายผ่อนเสรีของ Glasnost และ Perestroika ทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศโดยมีผุ้ที่ไม่พอใจได้พยายามจะก่อรัฐประหาร ขึ้นต่อรัฐบาลของนายกอร์บาชอฟ แม้การก่อรัฐประหารซึ่งกินเวลาอยู่เพียงไม่กี่วันจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดผลสะท้อนลึกซึ้งมาก คือเป็นการแสดงว่า อำนาจของรัฐบาลกลางย้ายจากศูนย์กลางไปอยู่ตามเขตรอบนอกของประเทศ คือสาธารณรัฐต่างๆ ซึ่งก็ต้องประสบกับปัญหานานัปการ จากการที่ประเทศเป็นภาคีอยู่กับสนธิสัญญาระหว่างประเทศต่างๆ โดยเฉพาะความตกลงเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งสหภาพโซเวียตเดิมได้ลงนามไว้หลายฉบับผู้นำของสาธารณรัฐที่ใหญ่ที่สุดคือ นายบอริส เยลท์ซินได้ประกาศว่า สหพันธ์รัฐรัสเซียยังถือว่า พรมแดนที่เป็นอยู่ขณะนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะแก้ไขเสียมิได้และในสภาพการณ์ด้านต่างประทเศที่เป็นอยู่ ในขณะนี้ การที่โซเวียตหมดสภาพเป็นประเทศอภิมหาอำนาจ ทำให้โลกกลับต้องประสบปัญหายากลำบากหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเศรษฐกิจระหว่างสาธารณรัฐต่างๆ ที่เคยสังกัดอยู่ในสหภาพโซเวียตเดิม จึงเห็นได้ชัดว่า สหภาพโซเวียตเดิมได้ถูกแทนที่โดยการรวมตัวกันระหว่างสาธารณรัฐต่างๆ อย่างหลวมๆ ในขณะนี้ คล้ายกับการรวมตัวกันระหว่างสาธารณรัฐภายในรูปเครือจักรภพหรือภายในรูป สมาพันธรัฐมากกว่า และนโยบายหลักของกอร์บาชอฟก็ได้ทำให้สหภาพโซเวียตหมดสภาพความเป็นตัวตนใน เชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) [การทูต] | Intellectual Property | ทรัพย์สินทางปัญญา " หมายถึง ผลงานอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ซึ่งผู้เป็นเจ้าของสามารถถือครอง และ/หรือเก็บเกี่ยวสิทธิประโยชน์ได้ นอกเหนือจากสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ - Patent สิทธิบัตร หมายถึง สิ่งประดิษฐ์ที่สร้างใหม่ ยังไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อน และเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น และการประดิษฐ์นั้นสามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้ - Copy Rights ลิขสิทธิ์ หมายถึง งานหรือความคิดสร้างสรรค์ในสาขาวรรณกรรม ศิลปกรรม ดนตรี งานภาพยนต์ หรืองานอื่นใดในแผนกวิทยาศาสตร์ - Neighboring Rights สิทธิข้างเคียง เป็นความคุ้มครองที่แตกแขนงมาจากลิขสิทธิ์ เนื่องจากงานที่สร้างขึ้นไม่สามารถถูกจัดเข้าเป็นงานลิขสิทธิ์ได้โดยตรง เพราะผลงานที่เกิดขึ้นนั้นได้มีบุคคลอื่นเข้ามาเป็นสื่อกลาง และก่อให้เกิดผลงานโดยใช้ เครื่องมือในทางวิชาชีพสร้างงานขึ้นมา ดังนั้น บุคคลผู้ที่เข้ามาเป็น สื่อกลางเพื่อผลิตงานให้แก่ผู้สร้างงานจึงควรมีสิทธิในผลงานนั้นเหมือนกับ เจ้าของงานลิขสิทธิ์ด้วย - Trade Marks เครื่องหมายการค้า หมายถึง เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือตราที่ใช้กับสินค้าเพื่อให้ประชาชนทั่วไปแยกแยะได้ว่าสินค้านั้นเป็นของ ผู้ใด ใครเป็นเจ้าของ และมีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งโดยทั่วไปจะเรียกว่า ยี่ห้อ สำหรับเครื่องหมายการค้านั้น จะเป็นภาพ เป็นคำ หรือเป็นตัวอักษรก็ได้ Service Marks เครื่องหมายบริการ เป็นเรื่องที่เกิดใหม่เนื่องจากสินค้าบริการได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น การให้บริการด้านการเงิน การโทรคมนาคม จึงทำให้ผู้ให้บริการต้องการที่จะใช้เครื่องหมาย เพื่อชี้ให้เห็นถึงการบริการของตน เช่นเดียวกับการใช้เครื่องหมายการค้า " [การทูต] | New Diplomacy | การทูตแบบใหม่ ภายหลังสงครามโลกครั้งแรก หรือตั้งแต่ ค.ศ. 1918 เป็นต้นมา ได้เกิดการทูตแบบใหม่ ซึ่งแตกต่างไปจาการทูตแบบเก่า อันได้ปฏิบัติกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี นักวิชาการบางท่านมีความเอนเอียงที่จะตำหนิว่า การที่เกิดสงครามโลกขึ้นนั้น เป็นเพราะการทูตประสบความล้มเหลวมากกว่าอย่างไรก็ดี บางท่านเห็นว่าแม้ส่วนประกอบของการทูตจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลา แต่เนื้อหาหรือสาระสำคัญของการทูตยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เป็นการผสมผสานเข้าด้วยกันระหว่างการทูตแบบเก่ากับการทูตแบบใหม่อาจกล่าวได้ ว่า มีปัจจัยสำคัญ ๆ อยู่สามประการ ที่มีอิทธิพลหรือบังเกิดผลโดยเฉพาะต่อวิธีการหรือทฤษฎีของการเจรจาระหว่าง ประเทศ กล่าวคือ ข้อแรก ชุมชนนานาชาติทั้งหลายเกิดการตื่นตัวมากขึ้น ข้อที่สอง ได้มีการเล็งเห็นความสำคัญของมติสาธารณะ ( Public Opinion) มากขึ้น และประการสุดท้าย เป็นเพราะการสื่อสารคมนาคมได้เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วอดีตนักการทูตผู้มี ชื่อเสียงคนหนึ่งของอินเดีย ได้แสดงความไม่พอใจและรังเกียจความหยาบอย่างปราศจากหน่วยก้านของการดำเนิน การทูตแบบใหม่ เช่น การโฆษณาชวนเชื่อเข้าใส่กัน การใช้ถ้อยคำในเชิงผรุสวาทต่อกัน การเรียกร้องกันอย่างดื้อ ๆ ขาดความละมุนละไมและประณีต อาทิเช่น การเรียกร้องข้ามหัวรัฐบาลไปยังประชาชนโดยตรงในค่ายของฝ่ายตรงกันข้ามการ กระทำต่าง ๆ ที่จะให้รัฐบาลต้องเสียชื่อหรือขาดความน่าเชื่อถือ ตลอดจนการใส่ร้ายป้ายสีกันด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ห้ามไม่ให้ประชาชนติดต่อกันทางสังคม และอื่น ๆ เป็นต้น [การทูต] | Personal Diplomacy | คือการเจรจากันโดยตรงระหว่างรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงต่างประเทศด้วยกัน ส่วนการเจรจากันโดยตรงระหว่างประมุขของรัฐ หรือหัวหน้าของรัฐบาล แต่เดิมก็จัดอยู่ในประเภทการมทูตส่วนบุคคล แต่มาในปัจจุบันนี้ มักนิยมเรียกกันว่าเป็นทูตแบบสุดยอด (Summit Diplomacy) แยกออกต่างหากจากการทูตส่วนบุคคลมีผู้สังเกตการณ์หลายคนเตือนว่า ในกรณีที่เกิดเรื่องหรือปัญหาที่ยังคาราคาซังอยู่นั้น ไม่ควรหันเข้าใช้วิธีส่งผู้แทนพิเศษจากนครหลวงไปแก้ปัญหา ควรให้เอกอัครราชทูตเป็นผู้ดำเนินการมากกว่า เพราะประการแรก การกระทำเช่นนั้นยังผลเสียหายต่อศักดิ์ศรีของตัวเอกอัครราชทูตเอง ทั้งยังกระทบกระเทือนต่อการที่เขาจะปฏิบัติงานให้ประสบผลอย่างเต็มที่ ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในประเทศนั้นในภายหน้าด้วย อีกประการหนึ่ง จะพึงคาดหมายได้อย่างไรว่า ตัวผู้แทนพิเศษที่ส่งไปนั้นจะมีความรอบรู้เกี่ยวกับภูมิหลังของปัญหา รวมทั้งตัวบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเท่ากับตัวเอกอัครราชทูตเอง ซึ่งได้ประจำทำงานอยู่ระยะเวลาหนึ่งแล้ว ณ ที่นั่น แม้แต่ แฮโรลด์ นิโคลสัน ก็ไม่เห็นด้วย และได้เตือนว่า การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศหนึ่งไปเยือนและพบปะกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอีกประเทศหนึ่งบ่อย ๆ นั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำและไม่ควรสนับสนุน เพราะการกระทำเช่นนี้ นอกจากจะทำให้ประชาชนคาดหมายไปต่าง ๆ นานาแล้ว ยังจะทำให้เกิดเข้าใจผิด และเกิดความสับสนขึ้นมาได้แม้แต่ผู้รอบรู้ในเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติทางการ ทูตบางคนก็ยังแคลงใจว่า การทูตแบบสุดยอด (Summit Diplomacy) จะได้ประโยชน์และให้ผลจริง ๆ หรือไม่ นอกจากเฉพาะในกรณียกเว้นจริง ๆ เท่านั้น บ้างเห็นว่า การพบปะเจรจาแบบสุดยอดมักจะกลายสภาพเป็นการโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์มากกว่า ที่จะเป็นการเจรจากันอย่างแท้จริง เพราะมีอันตรายอยู่ว่า ผู้ร่วมเจรจามักจะแสดงความคิดเห็นตามความรู้สึกมากกว่าตามข้อเท็จจริง เพราะมัวแต่เป็นห่วงและคำนึงถึงประชามติในประเทศของตนมากเกินไปนอกจากนี้ ผู้เจรจาไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ข้อลดหย่อนหรือทำการประนีประนอม ( ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งหากจะให้เจรจาบังเกิดผล) เพราะกลัวเสียหน้าหากกระทำเช่นนั้น ตามปกติ ถ้าให้นักการทูตเป็นผู้เจรจา เขาจะมีโอกาสมากกว่าที่จะใช้วิธีหลบหลีกอันชาญฉลาดในการเจรจาต่อรอง เพื่อให้เป็นผลตามที่มุ่งประสงค์ [การทูต] | Work of the United Nations on Human Rights | งานขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน งานสำคัญชิ้นหนึ่งของสหประชาชาติคือ วควมมปรารถนาที่จะให้ประเทศทั้งหลายต่างเคารพและให้ความคุ้มครองแก่สิทธิ มนุษยชนตลอดทั่วโลก ดังมาตรา 1 ในกฎบัตรของสหประชาติได้บัญญัติไว้ว่า?1. เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และมีเจตนามุ่งมั่นต่อจุดหมายปลายทางนี้ จะได้ดำเนินมาตรการร่วมกันให้บังเกิดผลจริงจัง เพื่อการป้องกันและขจัดปัดเป่าการคุกคามต่อสันติภาพ รวมทังเพื่อปราบปรามการรุกรานหรือการล่วงละเมิดอื่น ๆ ต่อสันติภาพ ตลอดจนนำมาโดยสันติวิธี และสอดคล้องกับหลักแห่งความยุติธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งการปรับปรุงหรือระงับกรณีพิพาทหรือสถานการณ์ระหว่างประเทศ อันจะนำไปสู่การล่วงละเมิดสันติภาพได้ 2. เพื่อพัฒนาสัมพันธไมตรีระหว่างประชาชาติทั้งปวงโดยยึดการเคารพต่อหลักการ แห่งสิทธิเท่าเทียมกัน และการกำหนดเจตจำนงของตนเองแห่งประชาชนทั้งปวงเป็นมูลฐานและจะได้ดำเนิน มาตรการอันเหมาะสมอย่างอื่น เพื่อเป็นกำลังแก่สันติภาพสากล 3. เพื่อทำการร่วมมือระหว่างประเทศ ในอันที่จะแก้ปัญหาระหว่างประเทศในทางเศรษฐกิจ การสังคม วัฒนธรรม และมนุษยธรรม รวมทั้งการส่งเสริมสนับสนุนการเคารพสิทธิมนุษยชนและอิสรภาพ อันเป็นหลักมูลฐานสำหรับทุก ๆ คนโดยปราศจากความแตกต่างด้านเชื้อชาติ เพศ ภาษา หรือศาสนา 4. เพื่อเป็นศูนย์กลางและประสานการดำเนินงานของประชาชาติทั้งปวงในอันที่จะ บรรลุจุดหมายปลายทางเหล่านี้ร่วมกันด้วยความกลมกลืน"ดังนั้น เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1948 สมัชชาแห่งสหประชาชาติจึงได้ลงข้อมติรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชุมชนระหว่างประเทศ ที่ได้ยอมรับผิดชอบที่จะให้ความคุ้มครอง และเคารพปฏิบัติตามสิทธิมนุษยชนปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ประกอบด้วยข้อความรวม 30 มาตรา กล่าวถึง1. สิทธิของพลเมืองทุกคนที่จะมีเสรีภาพ และความเสมอภาค รวมทั้งสิทธิทางการเมือง2. สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม มาตรา 1 และ 2 เป็นมาตราที่กล่าวถึงหลักทั่วไป เช่น มนุษย์ปุถุชนทั้งหลายต่างเกิดมาพร้อมกับ อิสรภาพ และทรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและสิทธิเท่าเทียมกัน ดังนั้น ทุกคนย่อมมีสิทธิและอิสรภาพตามที่ระบุในปฏิญญาสากล โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างใด ๆ เชื้อชาติ เพศ ภาษา ศาสนา ความเห็นทางการเมือง หรืออื่น ๆ ต้นกำเนิดแห่งชาติหรือสังคม ทรัพย์สินหรือสถานภาพอื่น ๆ ส่วนสิทธิของพลเมืองและสิทธิทางการเมืองนั้น ได้รับการรับรองอยู่ในมาตร 3 ถึง 21 ของปฏิญญาสากล เช่น รับรองว่าทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ มีเสรีภาพและความมั่นคงปลอดภัย มีอิสรภาพจากความเป็นทาสหรือตกเป็นทาสรับใช้ มีเสรีภาพจากการถูกทรมาน หรือการถูกลงโทษอย่างโหดร้าย สิทธิที่จะได้รับการรับรองเป็นบุคคลภายใต้กฎหมาย ได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย มีเสรีภาพจากการถูกจับกุม กักขัง หรือถูกเนรเทศโดยพลการ มีสิทธิที่จะเคลื่อนย้ายไปไหนมาไหนได้ สิทธิที่จะมีสัญชาติ รวมทั้งสิทธิที่จะแต่งงานและมีครอบครัว เป็นต้นส่วนมาตรา 22 ถึง 27 กล่าวถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ ทางสังคม และทางวัฒนธรรม เช่น มีสิทธิที่จะอยู่ภายใต้การประกันสังคม สิทธิที่จะทำงาน สิทธิที่จะพักผ่อนและมีเวลาว่าง สิทธิที่จะมีมาตรฐานการครองชีพสูงพอที่จะให้มีสุขภาพอนามัย และความเป็นอยู่ที่ดี สิทธิที่จะได้รับการศึกษาและมีส่วนร่วมในชีวิตความเป็นอยู่ตามวัฒนธรรมของ ชุมชน มาตรา 28 ถึง 30 กล่าวถึงการรับรองว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะมีขีวิตอยู่ท่ามกลางความสงบเรียบร้อยของสังคมและระหว่าง ประเทศ และขณะเดียวกันได้เน้นว่า ทุกคนต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อชุมชนด้วยสมัชชาสหประชาชาติได้ประกาศ ให้ถือปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนนี้ เป็นมาตรฐานร่วมกันที่ทุกประชาชาติจะต้องปฏิบัติตามให้ได้ และเรียกร้องให้รัฐสมาชิกของสหประชาชาติช่วยกันส่งเสริมรับรองเคารพสิทธิและ เสรีภาพตามที่ปรากฎในปฏิญญาสากลโดยทั่วกัน โดยเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องสิทธิมนุษยชนนี้ สมัชชาสหประชาชาติจึงลงมติเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1950 ให้ถือวันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสิทธิมนุษยชนทั่วโลก [การทูต] | no regret option | ทางเลือกในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบ, Example: เป็นการกำหนดทางเลือกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม [เศรษฐศาสตร์] | Crystal Growth | การเติบโตของผลึก, การเกิดผลึก, การเจริญของผลึก [การแพทย์] | Crystallization | การตกผลึก, การเกิดผลึก, น้ำเป็นผลึก [การแพทย์] | Digitalis Effect | เกิดผลเต็มที่ [การแพทย์] | Does More Good Than Harm | ก่อให้เกิดผลดีมากกว่าผลเสีย [การแพทย์] | crystallization | การตกผลึก, การเกิดผลึก, กระบวนการที่ทำให้สารเป็นผลึก เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้แยกสารและทำสารให้บริสุทธิ์ [พจนานุกรมศัพท์ สสวท.] | pollution | มลพิษ, สภาพหรือสารที่ก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งแวดล้อม [พจนานุกรมศัพท์ สสวท.] | cleaner technology | เทคโนโลยีสะอาด, การพัฒนา เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ วิธีการ กระบวนการ หรือการบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลกระทบหรือความเสี่ยงต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โดยใช้เครื่องมือ เช่น 3R คือ ใช้น้อย(reduce) ใช้ซ้ำ(reuse) และแปรรูปแล้วนำกลับมาใช้ใหม่(recycle) [พจนานุกรมศัพท์ สสวท.] | Growth, Slow | การเกิดผลึกช้าๆ [การแพทย์] | Ideas, Morbid | ความคิดที่ก่อให้เกิดผลเสีย [การแพทย์] |
| - lf you have any reaction, call me. | - ถ้าเกิดผลอะไรขึ้นมา โทรหานะ Junior (1994) | I'll be eradicating any potentially prejudicial conditions: | เราจะขอใช้สิทธิ์ที่จะกำจัดข้อด้อยซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียเช่น-- Gattaca (1997) | Good gracious, you have been productive. | สง่างาม คุณทำให้เกิดผลดี The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring (2001) | it could be absorbed by the body and therefore did have implications for human health. | และก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนต่อสุขภาพมนุษย์ The Corporation (2003) | their minds and dumbing them down you know they'll never affect... | ไม่มีทางเกิดผลกระทบอะไรหรอก... ประชาชนไม่มีทางลุกจากเก้าอี้ แล้วออกไปทำอะไรที่เป็นเรื่องการเมือง The Corporation (2003) | I may say that her disclosure had quite the opposite effect to the one she had intended. | ผมคงต้องพูดว่าสิ่งที่หล่อนทำนั้น ได้ก่อให้เกิดผลตรงกันข้ามกับที่หล่อนตั้งใจไว้ Episode #1.6 (1995) | Post-traumatic shock. It affects everyone differently. | อาการซ๊อคหลังจากการบาดเจ็บ มันเกิดผลกับทุก ๆ คนแต่แตกต่างกันออกไป The Forgotten (2004) | Look, there's good and bad to everybody. Right? | ฟังนะ มันเกิดผลดีและผลเสีย ต่อทุกคน ใช่มั้ย? Mean Girls (2004) | It's a basic principle of the universe that every action will create an equal and opposing reaction. | มันเป็นหลักการพื้นฐานของจักรวาล... ...ทุกๆการกระทำย่อมเกิดผลกระทบ ทางใดทางหนึ่งเสมอ. V for Vendetta (2005) | If one of you drinks this, you both will be fine: | ใครคนใดที่ได้ดื่มไป จะเกิดผลกับทั้งคู่: Shrek 2 (2004) | old habits that are hard to change plus new technology can have dramatically altered consequences. | ความเคยชินเก่าๆที่เปลี่ยนยากบวกกับเทคโนโลยีใหม่ สามารถทำให้เกิดผลสืบเนื่องที่เปลี่ยนไปอย่างมาก An Inconvenient Truth (2006) | And you, Dr. Straus... what would you like for emotional effect? | และคุณดรเตราสส์ สิ่งที่คุณต้องการเพื่อให้เกิดผลทางอารมณ์ ที่คุณต้องการ Sex Trek: Charly XXX (2007) | I found the most dangerous place is... where the forces unite in the optimum place to bear best results. | ผมพบว่า ที่ที่อันตรายที่สุดคือ... ตอนที่เขาอยู่ด้วยกันในสถานที่ที่ดีที่สุด จะช่วยสนับสนุนให้เกิดผลลัพธ์ดีที่สุด Unstoppable Marriage (2007) | I! Need to know how this demay is going to affect things. | ฉันต้องการรู้ว่ามันจะเกิดผลกระทอบอะไร Bang and Burn (2007) | - to transport some sort of case. | มันจะเกิดผลอะไรซักอย่าง Eagle Eye (2008) | Ishigaki Tooru is a swindler who has been affecting the Japanese economy for 10 years. | อิชิกาคิ โทโอรุเป็นนักต้มตุ๋นที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมากเป็นสิบปี Eiga: Kurosagi (2008) | And how could it possibly affect us? | และมันจะเกิดผลอะไรกับพวกเรา Chapter Ten 'The Eclipse Part 1' (2008) | As a safety precaution, we'll need to continually monitor your speech and sensory activity to insure the tissue being removed will not leave you impaired in any way. | เพื่อความปลอดภัย เราจะดูจอมอนิเตอร์อยู่ตลอด การตอบสนองทางการพูดและประสาทของคุณเพื่อรับประกันว่าก้อนเนื้อนั้น จะถูกนำออกไปโดยไม่เกิดผลร้ายใดๆอีก Going Under (2008) | Who knows the effect that would have on the world? | ใครจะรู้ว่าจะเกิดผลกระทบอะไรขึ้นบนโลก? The Damage a Man Can Do (2008) | Was going to affect me in ways | มันกำลังจะเกิดผลกระทบกับฉัน The Dreamscape (2008) | But by calling him this, you are detrimentally influencing the investigation. | แต่การเรียกเขาแบบนี้ มันจะเกิดผลเสียในการสืบสวน Catching Out (2008) | Engenders goodwill in the community, | ก่อให้เกิดผลดีกับความร่วมมือที่จะตามมา Chuck in Real Life (2008) | They produced unprecedented results on plots of land thus far ignored. | พวกมันก่อให้เกิดผลลัพท์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กับผืนดินรกร้างที่เคยถูกทอดทิ้ง Home (2009) | Unless I step down immediately, the damage to your office, and you personally, will be extensive. | ถ้าหากผมไม่ลาออกเดี๋ยวนี้ จะเกิดผลเสียหายกับคณะรัฐบาล และตัวท่านเอง อย่างมาก Day 7: 10:00 p.m.-11:00 p.m. (2009) | Any effort to contact her or warn anybody about this will have the same result, do you understand? | ถ้าคุณพยายามที่จะติดต่อเธอ หรือจะเตือนคนอื่นๆเรื่องนี้นะ จะทำให้เกิดผลลัพธ์เดียวกัน คุณเข้าใจมั๊ย? Day 7: 5:00 a.m.-6:00 a.m. (2009) | I am fully aware of the implications if this goes public. | ผมเข้าใจดีว่า มันจะเกิดผลกระทบอย่างไร ถ้าเกิดเรื่องนี้ออกไปสู่สาธารณะชน Day 7: 7:00 a.m.-8:00 a.m. (2009) | This might leave you feeling secure for an evening, but have a crippling effect on you in later life." | ที่จะทำให้พวกเขารู้สึกดีไปตลอดคืน แต่อาจจำให้เกิดผลอื่นตามมาในวันหลัง Confessions of a Shopaholic (2009) | But I can help push its outcome. | แต่ฉันสามารถช่วยทำให้มันเกิดผลดีได้ Chapter Twelve 'An Invisible Thread' (2009) | You've just ruined the chance to maximize productivity. | คุณเพิ่งทำลายโอกาสที่จะทำให้เกิดผลสูงสุด Life (2009) | ...effect it'll have on the polls | อาจจะเกิดผลกระทบกับผลโพล The Grandfather: Part II (2009) | Everything is connected. It's the butterfly effect. | เหตุการณ์ทุกอย่างมันเชื่อมต่อกัน และมันจะทำให้เกิดผลกระทบของช่วงเวลา Chapter Seven 'Once Upon a Time in Texas' (2009) | The more gained by the id, | บังเกิดผลเป็นอะไรที่คาดเดาได้อย่างเหลือเชื่อ Social Psychology (2009) | Nero's very presence has altered the flow of history... beginning with the attack on the USS Kelvin, culminating with the events of today, thereby creating an entire new chain of incidents... that cannot be anticipated by either party. | ตรงกันข้ามการที่นีโรมาที่นี่ทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลง และทั้งการที่เขาโจมตียานยูเอสเอสเคลวิ่น ไปจนถึงการก่อเหตุในวันนี้ ก่อให้เกิดผลต่างๆ ตามมาที่ใครก็ไม่อาจจะคาดเดาได้อีก Star Trek (2009) | It kind of damages the reputations of our member businesses. | มันจะเกิดผลเสีย ต่อสมาชิกของเรา Devil (2010) | And try this all again with different choices, | และพยายามลองอีกรอบ มันก็จะทำให้เกิดผลอย่ีางอื่นแทน Lost (2010) | Dana Walsh, the mole you installed inside CTU, claims to have evidence to that effect. | เดน่า วอลช์ สายลับของคุณที่แฝงตัวใน CTU อ้างว่ามีหลักฐาน ทำให้เกิดผลกระทบ Day 8: 11:00 a.m.-12:00 p.m. (2010) | To a speedy resolution. | เพื่อให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว Bad Blood (2010) | And if the cops don't believe the lie, then I guess I'll suffer the consequences. | และถ้าตำรวจไม่เชื่อการโกหก จากนั้นฉันจะเกิดผลกระทบตามมาอย่างมาก Widening Gyre (2010) | Unleashed a tachyon burst, then yes, without a doubt, it could have caused human consciousness to flash forward in time as the wave moved through. | ปลดปล่อยคลื่นปะจุ ที่ไวเหนือแสงละก็ มันก็ใช่ ไม่ต้องไปสงสัยเลย มันสามารถทำให้เกิดผลกระทบ ต่อสติของมนุษย์ได้ ทำให้เกิดเหตุการณ์หมดสติ ในช่วงเวลานั้นตอนที่คลื่น ถูกปลดปล่อยออกไป Revelation Zero: Part 1 (2010) | I've done more with less. | ฉันทำให้เกิดผลประโยชน์งอกเงยได้ The Devil You Know (2010) | And as far as the Intersect goes, we've known for some time that it could spur a host of side effects. | และตราบใดที่ยังมีอินเตอร์เซ็คอยู่ เราพอจะรู้อยู่บ้างว่าบางครั้ง มันจะทำให้เกิดผลข้างเคียง Chuck Versus the Tooth (2010) | Let's talk shop because I think this is a great opportunity to channel some of that negative energy into something positive. | มาคุยกันให้หมดเปลือกเลยนะ พราะฉันคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี ช่องทางบางสิ่งที่ก่อให้เกิดผลร้าย Green Light (2010) | Have my actions negatively impacted you? | การลงมือทำเรื่องนี้ของผม ทำให้เกิดผลลบกับนายนั่นรึ? Miss Mystic Falls (2010) | It's gonna go nowhere good. | มันไม่เกิดผลดีแน่นอน Caged Heat (2010) | Factoring in that we have such a strong and mutually beneficial relationship, | การได้รับปัจจัยจากเรื่องพวกนั้น จะทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้น และเกิดผลประโยชน์ร่วม ต่อความสัมพันธ์ของเรา The Couple in the Cave (2010) | It caused soft spots on the other side. | มันเกิดผลกระทบเพียงน้อยนิด สำหรับอีกฝั่ง Over There: Part 2 (2010) | Some of them expanded into micro black holes with devastating consequences. | บางแห่งได้ขยายตัว เป็นหลุมดำขนาดย่อม ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา Amber 31422 (2010) | This could be a light-year down the line, and she could still do the same thing and cause the same effect over here. | ซึ่งอาจเป็นปีแสงลงเส้น และเธอยังคงสามารถทำสิ่งเดียวกัน และก่อให้เกิดผลเช่น เดียวกันมากกว่าที่นี่ Is Time Travel Possible? (2010) | I think it's starting to have an effect. | ฉันคิดว่า มีเริ่มจะเกิดผลกระทบ Digging the Dirt (2010) | You let Black Forest deploy on this and it's an international incident I promise you. | ถ้าจะออก Black Forrest แล้วทำให้เกิดผลในระดับนานาชาติ The A-Team (2010) |
| บังเกิดผล | [bangkoēt phon] (v, exp) EN: bear fruit ; have an effect ; be successful FR: porter ses fruits | บังเกิดผล | [bangkoēt phon] (v, exp) EN: effective |
| placebo | (n) ยาที่บังเกิดผลทางจิตใจแต่ไม่มีฤทธิ์รักษาโรค |
| all roads lead to Rome | (idm) มีหลายวิธีที่จะทำให้เกิดผลอย่างเดียวกัน, See also: ทำให้เกิดผลอย่างเดียวไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม | bring something into force | (idm) ทำให้มีผลบังคับใช้ (กฎหมาย), See also: ทำให้เกิดผล | causation | (n) การเป็นสาเหตุให้เกิดผลขึ้น, Syn. causing, cause | effect | (vt) ก่อให้เกิด, See also: ทำให้เกิด, บังเกิดผล, ออกฤทธิ์, Syn. bring about, cause | effective | (adj) ได้ผลดี, See also: มีประสิทธิผล, ชะงัด, เกิดผล, มีผล, Syn. efficient, productive, sufficient | factor | (n) ปัจจัย, See also: ตัวประกอบ, ปัจจัยที่ทำให้เกิดผลหรือมีอิทธิพลต่อสิ่งต่างๆ, Syn. constituent, determinant, portion | fecundate | (vt) ทำให้เกิดผล, See also: ทำให้มีลูกมาก, ทำให้ดินดี, Syn. fertilize, reproduce | fertilization | (n) การผสมพันธุ์, See also: การทำให้เกิดผล, Syn. insemination, impregnation, implantation | fruition | (n) การบรรลุผล, See also: การบังเกิดผล, Syn. accomplishment, completion, filfillment | interact with | (phrv) มีปฏิกิริยากับ, See also: มีผลกับ, เกิดผลกับ | lie fallow | (phrv) มึน, See also: พัก, ตื้อ, ไม่เกิดผลผลิต, ไม่สร้างสรรค์ต่อ | make play with | (idm) เอ่ยถึงบางสิ่งเพื่อให้เกิดผลบางอย่าง | operant | (adj) ที่มีผล, See also: ที่เกิดผล | operate | (vi) ก่อให้เกิดผล | operative | (adj) พร้อมใช้งาน, See also: ที่เกิดผล, Syn. effective, in use, Ant. useless, inactive | productive | (adj) ที่ก่อให้เกิดผล | productively | (adv) อย่างก่อให้เกิดผล, See also: อย่างมีประสิทธิภาพ | result | (vi) เป็นผล, See also: บังเกิดผล, ให้ผล, Syn. appear, ensue, happen | stillborn | (adj) ไม่ได้ผล, See also: ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ, ซึ่งไม่เกิดผล, Syn. abortive, unseccessful, Ant. successful | succeed | (vi) สำเร็จ, See also: ประสบความสำเร็จ, บังเกิดผล, สัมฤทธิ์ผล, Syn. achieve, accomplish, prosper, Ant. fail | ation | (suf) การกระทำ, See also: ภาวะ, เงื่อนไข, ผลิตภัณฑ์, ผล, สิ่งที่ทำให่เกิดผล | telling | (adj) ที่เกิดผล, See also: มีผล, ได้ผล, Syn. effective, important, crucial | transient | (adj) เกิดผลกระทบนอกจิตใจ | unleash | (vt) ก่อให้เกิดผลรุนแรง | well-intentioned | (adj) ซึ่งเจตนาดี (แต่มักจะก่อให้เกิดผลที่ไม่ค่อยดีตามมา), Syn. well-meaning |
| act | (แอคทฺ) n., vt., vi. การกระทำ, พฤติการณ์, ฉาก, องก์ (ละคร) , การเล่นละคร, ฤทธิ์, อำนาจ, การดำเนินคดี, การปฏิบัติหน้าที่, การบังเกิดผล, การแกล้งทำ, เหตุการณ์ในละครหรือหนังสือ, เครื่องจักร, การเคลื่อนไหว, การรบ, Syn. perform, do, pl abbr. activated clotting enzyme | alert box | ช่องข้อความเตือนหมายถึงช่องข้อความที่คอมพิวเตอร์จะแสดงให้เห็นบนจอภาพ มีข้อความเตือนในเรื่องการใช้คำสั่งบางประการที่อาจทำให้เกิดผลเสีย เช่น เครื่องพิมพ์ไม่มีกระดาษ ข้อความบางตอนอาจศูนย์หาย ฯ เป็นต้น | authenticate | (ออเธน'ทิเคท) vt. ทำให้น่าเชื่อถือ, รับรองเป็นของแท้, ทำให้เกิดผล. -authentication n. -authenticator n., Syn. certify, validate, Ant. falsify | backfire | (แบค'ไฟเออะ) { backfired, backfiring, backfires } vi., n. (การ) ระเบิดถัง (เครื่องยนต์ที่มีเชื้อเพลิงเผาไหม้ไม่สมบูรณ์) , เผาบริเวณหนึ่งเพื่อสกัดการลุกลามของไฟที่กำลังมา, เกิดผลที่ไม่ต้องการให้เกิด, Syn. boomerang, Ant. succeed | blind | (ไบลนดฺ) adj., adv., vi., vt., n. (ทำให้, สิ่งที่ทำให้) ตาบอด, ไม่สามารถเข้าใจ, ไร้เหตุผล, ไร้สติ, เมาเหล้า, มืด, ไม่บังเกิดผล, ซ่อนเร้น, ลึกลับ, ดูไม่ออก, เข้าใจยาก, อุดตัน, ไม่มีทางออก, ตัวล่อ, นกต่อ, See also: blindness n. ดูblind, Syn. s | causation | (คอเซ'เชิน) n. การทำให้เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผล, สิ่งทำให้เกิดผล, สิ่งทำให้เกิดผล, สาเหตุ | causative | (คอส'ซะทิฟว) adj. เป็นเหตุ, ทำให้เกิดผล, กลายเป็นสาเหตุ, ก่อให้เกิดขึ้น | crystalline | (คริส'ทะลิน, -ทะไลนฺ') adj. เกี่ยวกับผลึก, โปร่งแสง, ใสแจ๋ว, เกิดจากการตกผลึก, ประกอบด้วยผลึก, เกี่ยวกับการเกิดผลึก, See also: crystalility n. ดูcrystalline | cure | (คิว'เออะ) { cured, curing, cures } vt. รักษาให้หาย, แก้ให้หาย vi. บังเกิดผลในการบำบัดรักษา, ผ่านกรรมวิธีไม่ให้เน่า (ย่าง, บ่ม, อบ, รม, ผึ่ง) n. การรักษาให้หาย, Syn. treatment | data processing | n. กระบวนการหรือเทคนิคการป้อนข้อมูล ใช้ตัวย่อว่า DP (อ่านว่า ดีพี) หมายถึง การนำข้อมูลดิบ (raw data) มาดำเนินการบางประการ เช่น จัดจำแนก คัดแยก คำนวณ บันทึก เปรียบเทียบ เพื่อให้เกิดผลตามที่ต้องการ หรือ ผลที่จะนำไปใช้ต่อไป โดยปกติจะใช้คำเต็ม ๆ ว่า electronic data processing หรือ EDP ซึ่งหมายเฉพาะถึง การประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เท่านั้น | dp | (ดีพี) ย่อมาจาก data processing (แปลว่า การประมวลผลข้อมูล) หมายถึงการนำข้อมูลดิบ (raw data) มาดำเนินการบางประการ เช่นจัดจำแนก คัดแยก คำนวณ บันทึก เปรียบเทียบ เพื่อให้เกิดผลตามต้องการหรือผลที่จะนำไปใช้ต่อไปได้ โดยปกติจะหมายถึงการประมวลผลโดยใช้คอมพิวเตอร์เท่านั้น | effect | (อิเฟคทฺ') { effected, effecting, effects } n. ผล, อิทธิพล, ปรากฎการณ์ที่ลวงตา, ความหมาย, ทรัพย์สิน vt. ทำให้เกิดผล, ทำให้เกิด., See also: effectible adj. ดูeffect -Phr. of no effect ไร้ผล -Phr. take effect ทำให้เกิดผล -S... | effete | (อีฟิท') adj. อ่อนเปลี้ยเพลียแรง, ขาดกำลังวังชา, เป็นหมัน, ไร้สมรรถภาพ, ล้าสมัย, ไม่สามารถทำให้เกิดผล. | efficacy | (เอฟ'ฟะคะซี) n. ประสิทธิภาพ, ความสามารถที่ทำให้เกิดผล, Syn. effectiveness | fecund | (ฟี'เคินดฺ) adj. ทำให้เกิดผล, มีผลหรือลูกดก, อุดมสมบูรณ์, ดินดี, สร้างสรรค์ | fertilise | (เฟอ'ทะไลซ) vt. ผสมพันธุ์, ทำให้มีลูก, ทำให้เกิดผล, ทำให้ที่ดินอุดมสมบูรณ์, See also: fertilizable, fertilisable adj. | fertilization | (เฟอทะไลเซ'เชิน) n. การผสมพันธุ์, การทำให้มีลูก, การทำให้เกิดผล, การทำให้ดินอุดมสมบูรณ์, ความอุดมสมบูรณ์., Syn. fertilisation, fecundation | fertilize | (เฟอ'ทะไลซ) vt. ผสมพันธุ์, ทำให้มีลูก, ทำให้เกิดผล, ทำให้ที่ดินอุดมสมบูรณ์, See also: fertilizable, fertilisable adj. | implementation | การทำให้เกิดผลหมายถึง การลงมือทำเพื่อให้โครงการหรืองานอย่างใดอย่างหนึ่งประสบผลสำเร็จ อาจใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือบางชนิดช่วยก็ได้ | inefficacy | (อินเอฟ'ฟะคะซี) n. การไร้อำนาจหรือความสามารถที่จะทำให้เกิดผลเป็นที่พอใจ, การไม่ได้ผล | mindblowing | (ไมด'โบลอิง) adj. ประหลาดใจ, ท่วมท้น, ทำให้เกิดผลเหมือนยาหลอนประสาท. | misfire | (มิสไฟ'เออะ) vi., n. (การ) ไม่ติดไฟ, (เครื่อง) ไม่ติด, ไม่เกิดผล, ไม่ระเบิด, Syn. miscarry, fail | parthenocarpy | n. การเกิดผลโดยไม่มีการปฏิสนธิ. | productive | (โพรดัค'ทิฟว) adj. มีอำนาจผลิต, ให้ผลดีหรือมาก, ทำให้เกิดผล, อุดมสมบูรณ์., See also: productivity n., Syn. creative | ravage | (แรฟ'วิจฺ) vt., vi. ทำให้เสียหาย, ทำให้เกิดผลร้าย, ทำลาย, ปล้นสะดม., See also: ravagement n. ravager n., Syn. havoc, damage | resultant | (รีซัล'เทินทฺ) adj. ซึ่งเป็นผล, ซึ่งบังเกิดผล, เป็นผลมาจาก, รวมกัน, เป็นผลลัพธ์ n. (คณิตศาสตร์, ฟิสิกส์) vector (ดู) ที่แสดงผลลัพธ์, ผลลัพธ์ | tell | (เทล) vt., vi. บอก, แจ้ง, เล่า, พูด, บรรยาย, เปิดเผย, จำแนกความแตกต่าง, แสดงผล. นับคะแนน, ทำนาย, ทำให้เกิดผลชัดเจนหรือรุนแรง, tell off กล่าวหาอย่างรุนแรง ประณาม ด่า, -Phr. (tell on พูดมาก พูดไม่เป็นสาระ), See also: tellable adj. -S... | virtuous | (เวอ'ชุเอิส) adj. เกี่ยวกับหลักศีลธรรมและจริยธรรม, เที่ยงตรง, ถูกต้อง, บริสุทธิ์, สามารถทำให้เกิดผลได้., See also: virtuously adv. |
| bearing | (n) การหาม, การทำให้เกิดผล, กิริยาท่าทาง | effect | (vt) ทำให้เกิดผล, ยังผล, แสดงผล | effectual | (adj) อาจเกิดผลได้, ได้ผล, มีผลบังคับใช้, พอเพียง | fail | (vi) ล้มเหลว, ไม่สำเร็จ, ไม่เกิดผล, ไม่สามารถ, สอบตก | fertilization | (n) การทำให้อุดม, การทำให้เกิดผล, การทำให้มีผล, การผสมพันธุ์ | fertilize | (vt) เพาะพันธุ์, ทำให้มีผล, ทำให้เกิดผล, ทำให้อุดม | fruit | (vi) มีผล, มีลูก, เกิดผล, บรรลุผล, ให้ผล, ติดผล | fruition | (n) การได้รับผล, การบรรลุผล, การเกิดผล, การออกผล, การติดผล | issue | (vi) ไหลออกมา, ออกมา, เกิดผลขึ้น, ปล่อยออก | productivity | (n) ความงอกงาม, การให้กำเนิด, การทำให้เกิดผล | result | (vi) บังเกิดผล, เป็นผล |
| durch | (präp) ด้วย (เป็นบุพบทที่ใช้บ่งว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งส่งให้เกิดผล) เช่น Durch diese Behandlung ist er gerettet. เขารอดชีวิตมาได้ด้วยวิธีการรักษานี้ |
|
เพิ่มคำศัพท์
ทราบความหมายของคำศัพท์นี้? กด [เพิ่มคำศัพท์] เพื่อใส่คำนี้พร้อมความหมาย เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผู้ใช้ท่านอื่น ๆ
Are you satisfied with the result?
Discussions | | |