ลองค้นหาคำในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์มากขึ้นหรือน้อยลง: กีดกัน, -กีดกัน- |
มีผลลัพธ์ที่ไม่แสดงผลอยู่ กีดกัน | (v) obstruct, See also: keep from, block, bar, prevent, Syn. กั้น, กัน, ห้ามปราม, กีดกั้น, Example: กำแพงทางสังคมศีลธรรมและศาสนาได้กีดกันไม่ให้คนนึกคิดถึงกามารมณ์, Thai Definition: กันไม่ให้เป็นไปได้, กันไม่ให้สะดวก | การกีดกัน | (n) obstruction, See also: prevention, exclusion, Syn. การขัดขวาง, Example: การกีดกันความรักของชายหนุ่มและหญิงสาวทำให้ทั้งสองพร้อมใจกันจบชีวิต |
| กีดกัน | ก. กันไม่ให้ทำได้โดยสะดวก. | มดแดงเฝ้ามะม่วง | น. ชายที่ปองรักหญิงบ้านใกล้หรือที่อยู่ใกล้กัน และคอยกีดกันไม่ให้ชายอื่นมารัก, มดแดงแฝงพวงมะม่วง ก็ว่า. | มาร, มาร- | (มาน, มาระ-, มานระ-) น. เทวดาจำพวกหนึ่ง มีใจบาปหยาบช้าคอยกีดกันไม่ให้ทำบุญ | มาร, มาร- | ผู้ฆ่า, ผู้ทำลาย, ในพระพุทธศาสนาหมายถึงผู้กีดกันบุญกุศล มี ๕ อย่าง เรียกว่า เบญจพิธมาร คือ ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร, โดยปริยายหมายถึงผู้ที่เป็นอุปสรรคขัดขวาง. | เล่นการเมือง | ก. ฝักใฝ่หรือปฏิบัติการเกี่ยวกับงานบริหารบ้านเมือง, โดยปริยายหมายความว่า ใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงไม่ตรงไปตรงมา เพื่อผลประโยชน์ของตน เช่น ในวงการกีฬาก็มีการเล่นการเมือง นักกีฬาเก่ง ๆ บางคนถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมทีม. |
|
| | Discrimination against people with disabilities | การกีดกันคนพิการ [TU Subject Heading] | Discrimination in employment | การกีดกันในการจ้างงาน [TU Subject Heading] | Race discrimination | การกีดกันทางเชื้อชาติ [TU Subject Heading] | Sex discrimination | การกีดกันทางเพศ [TU Subject Heading] | Sex discrimination against women | การกีดกันทางเพศต่อสตรี [TU Subject Heading] | Sex discrimination in education | การกีดกันทางเพศในการศึกษา [TU Subject Heading] | Sex discrimination in employment | การกีดกันทางเพศในการจ้างงาน [TU Subject Heading] | Sex discrimination in national income accounting | การกีดกันทางเพศในการบัญชีรายได้ประชาชาติ [TU Subject Heading] | Diplomatic Privileges and Immunities | เอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูต เอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูตที่ได้ให้แก่เจ้า หน้าที่ทางการทูต โดยถือว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้แทนส่วนตัวของประมุขของรัฐ เหตุผลที่ให้มีการคุ้มกันทางการทูต ก็เพราะถือว่ารัฐบาลหนึ่งใดก็ตามจะถูกกีดกันขัดขวางด้วยการจับกุม หรือกีดกันมิให้ผู้แทนของรัฐบาลนั้นปฏิบัติหน้าที่ในความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศนั้นมิได้ ถ้าหากเห็นว่าผู้แทนนั้นมีพฤติกรรมหรือพฤติการณ์ที่ก้าวร้าวซึ่งรัฐผู้รับ ไม่อาจรับได้ก็ชอบที่รัฐผู้รับจะขอร้องให้รัฐผู้ส่งเรียกตัวผู้แทนของตนกลับ ประเทศได้ อนึ่ง การที่สถานเอกอัครราชทูตได้รับความคุ้มกันจากอำนาจศาลของรัฐผู้รับ เพราะต้องการให้บรรดาผู้แทนทางการทูตเหล่านั้น รวมทั้งบุคคลในครอบครัวของเขาได้มีโอกาสมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศของเขาอนุสัญญากรุง เวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตมีบทบัญญัตินิยามคำว่า เอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูตในเรื่องต่างๆ ไว้มากพอสมควร เช่น เรื่องสถานที่ของคณะผู้แทนทางการทูต รวมทั้งบรรณสารและเอกสาร เรื่องการอำนวยความสะดวกให้แก่การปฏิบัติงานของคณะผู้แทน และเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายรวมทั้งการคมนาคมติดต่อ เป็นต้น [การทูต] | Genocide | การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือฆ่ามนุษย์เป็นกลุ่มก้อน เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1946 สมัชชาสหประชาชาติได้ยืนยันเป็นเอกฉันท์ว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือการฆ่ามนุษย์เป็นกลุ่มก้อนนั้นให้ถือเป็นอาชญากรรม ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งโลกที่บรรลุความเจริญแล้วประณามอย่างรุนแรงอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกัน และการลงโทษอาชญากรรมเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้ สมัชชาสหประชาชาติได้ลงมติรับรองเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1948 อนุสัญญานี้ได้นิยามคำว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) หมายถึงการประกอบอาชญากรรมบางอย่าง โดยมีเจตนาที่จะทำลายล้างกลุ่มชนชาติ กลุ่มเผ่าพันธุ์ กลุ่มเชื้อชาติ หรือกลุ่มศาสนา ในบางส่วนหรือทั้งหมดก็ตาม การประกอบกรรมซึ่งถือเป็นการฆ่าล้างชาตินั้นได้แก่ การฆ่า การทำให้เกิดความเสียหายอย่างสาหัส ทั้งต่อร่างกายหรือจิตใจ และการบังคับให้มีสภาวะการครองชีพที่เจตนาจะให้ชีวิตร่ายกายถูกทำลาย ไม่ว่าจะเพียงส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดก็ตาม ตลอดจนออกมาตรการกีดกันมิให้มีลูกและโยกย้ายเด็ก ๆ ไม่เพียงแต่การฆ่าล้างชาติอย่างเดียว หากแต่การคบคิดหรือการยุยงให้มีการฆ่าล้างชาติ รวมทั้งความพยายามที่จะฆ่าล้างชาติและสมรู้ร่วมคิดในอาชญากรรมดังกล่าว ย่อมถูกลงโทษได้ตามนัยแห่งอนุสัญญานี้ บรรดาผู้ที่มีความผิดฐานฆ่าล้างชาติจะต้องถูกลงโทษไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ ปกครอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง หรือเอกชนส่วนบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดของตามกฎหมายก็ตามบรรดาประเทศที่ภาคี อนุสัญญานี้จำเป็นต้องออกกฎหมายของตนเพื่อรองรับ และจะต้องตกลงเรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดนในกรณีที่บุคคลนั้นๆ มีความผิดฐานฆ่าล้างชาติ และบุคคลที่มีความผิดฐานฆ่าล้างชาติจะต้องถูกพิจารณาลงโทษในประเทศที่มีการ ประกอบอาชญากรรมดังกล่าวขึ้น หรือโดยศาลระหว่างประเทศที่มีอำนาจครอบคลุมถึงเจตนารมณ์ของสนธิสัญญานี้ เพื่อต้องการป้องกัน และลงโทษอาชญากรรมฆ่าล้างชาติ ไม่ว่าจะประกอบขึ้นในยามสงครามหรือในยามสงบก็ตามอนุสัญญาดังกล่าวได้เริ่มมี ผลบังคับเมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1951 เป็นเวลา 90 วันหลังจากที่ 20 ประเทศได้ให้สัตยาบัน หรือให้ภาคยานุวัติตามที่ระบุอยู่ในอนุสัญญา อนุสัญญานี้จะมีผลบังคับเป็นเวลา 10 ปี และมีการต่ออายุสัญญาทุก 5 ปี สำหรับประเทศที่มิได้บอกเลิกสัญญา หากประเทศที่ยังเป็นภาคีอนุสัญญามีจำนวนเหลือไม่ถึง 16 ประเทศ อนุสัญญานี้จะเลิกมีผลบังคับทันที [การทูต] | Immunity from Jurisdiction of Diplomatic Agents | ความคุ้มกันจากอำนาจศาลของตัวแทนทางการทูต ในเรื่องนี้ อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตได้บัญญัติไว้ในมาตรา 31 ว่า?1. ให้ตัวแทนทางการทูตได้อุปโภคความคุ้มกันจากอำนาจศาลทางอาญาของรัฐผู้รับ ตัวแทนทางการทูตยังจะได้อุปโภคความคุ้มกันจากอำนาจศาลทางแพ่ง และทางการปกครองของรัฐผู้รับด้วย เว้นแต่ในกรณีของก) การดำเนินคดีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัว ที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตของรัฐผู้รับนอกจากตัวแทนทางการทูตครอบครองไว้ในนามของ รัฐผู้ส่งเพื่อความมุ่งประสงค์ของคณะผู้แทนข) การดำเนินคดีเกี่ยวกับการสืบมรดกซึ่งเกี่ยวพันถึงตัวแทนทางการทูตในฐานะผู้ จัดการมรดกโดยพินัยกรรม ผู้จัดการมรดกโดยศาลตั้งทายาท หรือผู้รับมรดกในฐานะเอกชน และมิใช่ในนามของรัฐผู้ส่งค) การดำเนินคดีเกี่ยวกับกิจกรรมใดในทางวิชาชีพ หรือพาณิชย์ ซึ่งตัวแทนทางการทูตได้กระทำในรัฐผู้รับ นอกเหนือจากการหน้าที่ทางการของตน 2. ตัวแทนทางการทูตไม่จำเป็นต้องให้การในฐานะพยาน 3. มาตรการบังคับคดี ไม่อาจดำเนินได้ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวแทนทางการทูต เว้นแต่ในกรณีซึ่งอยู่ภายใต้อนุวรรค (ก) (ข) และ (ค) ของวรรค 1 ของข้อนี้ และโดยมีเงื่อนไขว่ามาตรการที่เกี่ยวข้องอาจดำเนินไปได้โดยปราศจากการละเมิด ความละเมิดมิได้ในตัวบุคคลของตัวผู้แทนทางการทูต หรือที่อยู่ของตัวแทนทางการทูต 4. ความคุ้มกันของตัวแทนทางการทูตจากอำนาจศาลของรัฐผู้รับ ไม่ยกเว้นตัวแทนทางการทูตจากอำนาจศาลของรัฐผู้ส่ง?เกี่ยวกับความคุ้มกันตัว แทนทางการทูตจากขอบเขตของอำนาจศาลทางแพ่ง อาจกล่าวได้อย่างกว้างๆ ว่า ตัวแทนทางการทูตนั้นได้รับการยกเว้นจากอำนาจของศาลแพ่งในท้องถิ่นคือตัวแทน ทางการทูตนั้นได้รับการยกเว้นจากอำนาจของศาลแพ่งในท้องถิ่นคือตัวแทนทางการ ทูตจะถูกฟ้องมิได้ และถูกจับกุมมิได้เกี่ยวกับหนี้สิน รวมทั้งทรัพย์สินของเขา เช่น เครื่องเรือน รถยนต์ ม้า และสิ่งอื่นๆ ทำนองนั้นก็จะถูกยืดเพื่อใช้หนี้มิได้ ตัวแทนทางการทูตจะถูกกีดกันมิให้ออกไปจากรัฐผู้รับในฐานะที่ยังมิได้ชดใช้ หนี้สินของเขานั้นก็มิได้เช่นกัน อนึ่ง นักกฎมายบางกลุ่มเห็นว่า ตัวแทนทางการทูตจะถูกหมายศาลเรียกตัว (Subpoenaed) ไม่ได้ หรือแม้แต่ถูกขอร้องให้ไปปรากฎตัวเป็นพยานในศาลแพ่งหรือศาลอาญาก็ไม่ได้ อย่างไรก็ดี ถ้าหากตัวแทนทางการทูตสมัครใจที่จะไปปรากฏตัวเป็นพยานในศาล ก็ย่อมจะทำได้ แต่จะต้องขออนุมัติจากรัฐบาลในประเทศของเขาก่อน [การทูต] | International Trade Organization | องค์การการค้าระหว่างประเทศ มีหน้าที่ดำเนินงานเกี่ยวกับความตกลงทั้วไปว่าด้วยภาษี ศุลกากรและการค้าระหว่างประเทศ วัตถุประสงค์สำคัญขององค์การคือ ต้องการขยายการค้าของโลกให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยให้มีมาตรฐานการครองชีพสูงขึ้น ขจัดการกีดกันการค้า หรือพยายามลดให้เหลือน้อยที่สุด เช่น การตั้งข้อจำกัดโควต้า เป็นต้น ตัดทอนภาษีศุลกากรทั่วโลกให้ต่ำลง ดูแลตลาดวัตถุดิบให้เป็นไปอย่างยุติธรรม และพยายามควบคุมด้านการค้าของการร่วมมือกันทางธุรกิจ (Cartels) จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดคือ ป้องกันมิให้กลับไปสู่การดำเนินการทางการค้าที่ตัดราคากันอย่างหั่นแหลก เหมือนเมื่อระยะปี ค.ศ. 1930 ถึง 1939 นั่นเองอย่างไรก็ดี ตั้งแต่มีการปฏิบัติใช้ความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้ามาจนบัด นี้ ก็ได้รับผลสำเร็จตามแนววัตถุประสงค์อย่างมากมาย เช่น มีประเทศสมาชิกหลายสิบประเทศลดภาษีศุลกากรและรักษาระดับภาษีอย่างมีเสรีภาพ แต่ละปี ประเทศสมาชิกจะได้ยินได้ฟังเสียงร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติทางการค้า ละเมิดกฎเกณฑ์ของความตกลงทั่วไป แล้วเสียงร้องเรียนดังกล่าวก็ได้รับการแก้ไขจนเป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย เป็นต้น นอกจากนี้ ได้มีการปรับปรุงและดัดแปลงข้อกำหนดของความตกลงทั่วไป ให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา [การทูต] | New World Order | ระเบียบใหม่ของโลก คำนี้มีส่วนเกี่ยวพันกับอดีตประธานาธิบดียอร์ช บุช และเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางใจสมัยหลังจากที่ประเทศอิรักได้ใช้กำลัง ทหารรุกรานประเทศคูเวต เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1990 กล่าวคือ ประธานาธิบดียอร์ช บุช มีความวิตกห่วงใยว่า การที่สหรัฐอเมริกาแสดงปฏิกิริยาต่อการรุกรานของอิรักนี้ ไม่ควรจะให้โลกมองไปในแง่ที่ว่า เป็นการปฏิบัติการของสหรัฐแต่ฝ่ายเดียวหากควรจะมองว่าเป็นเรื่องของหลักความ มั่นคงร่วมกัน (Collective Security ) ที่นำออกมาใช้ใหม่ในสมัยหลังสงครามเย็นในสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสภาร่วมทั้ง สองของรัฐสภาอเมริกันเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1990 ประธานาธิบดีบุชได้วางหลักการง่าย ๆ 5 ข้อ ซึ่งประกอบเป็นโครงร่างของระเบียบใหม่ของโลก ตามระเบียบใหม่ของโลกนี้ โลกจะปลอดพ้นมากขึ้นจากการขู่เข็ญหรือการก่อการร้าย ให้ใช้มาตรการที่เข้มแข็งในการแสวงความยุติธรรม ตลอดจนให้บังเกิดความมั่นคงยิ่งขึ้นในการแสวงสันติสุข ซึ่งจะเป็นยุคที่ประชาชาติทั้งหลายในโลก ไม่ว่าจะอยู่ในภาคตะวันออก ตะวันตก ภาคเหนือหรือภาคใต้ ต่างมีโอกาสเจริญรุ่งเรืองและมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวแม้ว่า ระเบียบใหม่ของโลก ดูจะยังไม่หลุดพ้นจากความคิดขั้นหลักการมาเป็นขั้นปฏิบัติอย่างจริงจังก็ตาม แต่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า อย่างน้อยก็เป็นการส่อให้เห็นเจตนาอันแน่วแน่ที่จะกระชับความร่วมมือระหว่าง ประเทศใหญ่ ๆ ทั้งหลายให้มากยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้องค์การระหว่างประเทศมีฐานะเข้มแข็งขึ้น และให้กฎหมายระหว่างประเทศมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น ต่อมา เหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในด้านการเมืองของโลกระหว่างปี ค.ศ. 1989 ถึง ค.ศ. 1991 ทำให้หลายคนเชื่อกันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกำลังผันไปสู่หัวเลี้ยวหัวต่อใหม่ กล่าวคือ ความล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรปภาคตะวันออก อวสานของสหภาพโซเวียตในฐานะประเทศอภิมหาอำนาจ การยุติของกติกาสัญญาวอร์ซอว์และสงครามเย็น การรวมเยอรมนีเข้าเป็นประเทศเดียว และการสิ้นสุดของลัทธิอะพาไทด์ในแอฟริกาใต้ (คือลัทธิกีดกันและแบ่งแยกผิว) เหล่านี้ทำให้เกิด ?ศักราชใหม่? ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังจะเห็นได้ว่า บรรดาประเทศต่าง ๆ บัดนี้ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันมากขึ้น องค์การสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงมีศักยภาพสูงขึ้น กำลังทหารมีประโยชน์น้อยลง เสียงที่กำลังกล่าวขวัญกันหนาหูเกี่ยวกับระเบียบใหม่ของโลกในขณะนี้ คือความพยายามที่จะปฏิรูปองค์การสหประชาติใหม่ และปรับกลไกเกี่ยวกับรักษาความมั่นคงร่วมกันให้เข้มแข็งขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สิทธิ์ยับยั้ง (Veto) ในคณะมนตรีความมั่นคง ควรจะเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ โดยจะให้สมาชิกที่มีอำนาจใช้สิทธิ์ยับยั้งนั้นได้แก่สมาชิกในรูปกลุ่มประเทศ (Blocs of States) แทนที่จะเป็นประเทศสมาชิกถาวร 5 ประเทศเช่นในปัจจุบันอย่างไรก็ดี การสงครามอ่าวเปอร์เซียถึงจะกระทำในนามของสหประชาชาติ แต่ฝ่ายที่รับหน้าที่มากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา แม่ว่าฝ่ายที่รับภาระทางการเงินมากที่สุดในการทำสงครามจะได้แก่ซาอุดิอาระ เบียและญี่ปุ่นก็ตาม ถึงแม้ว่าคติของระเบียบใหม่ของโลกจะผันต่อไปในรูปใดก็ดี สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ โลกจะยังคงต้องอาศัยพลังอำนาจ การเป็นผู้นำ และอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาต่อไปอยู่นั่นเอง [การทูต] | Organization of European Economic Cooperation | คือองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรป สัญญาที่ก่อตั้งองค์การนี้ได้มีการลงนามกัน ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ.1948 โดยรัฐบาลของประเทศออสเตรีย เบลเยี่ยม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส กรีซ ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักแซมเบิร์ก นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ ปอร์ตุเกส อังกฤษ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ตุรกี โดยแม่ทัพของฝรั่งเศส อังกฤษ และสหรัฐอเมริกาที่ประจำอยู่ในเขตยึดครองในเยอรมนี (หลังเสร็จสงครามโลกครั้งที่สอง)จุดประสงค์สำคัญที่สุดขององค์การนี้คือ ต้องการให้ทวีปยุโรปมีภาวะเศรษฐกิจกลับคืนมาใหม่อย่างมั่นคง ด้วยการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิก สำนักงานใหญ่ขององค์การนี้ตั้งอยู่ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสอย่างไรก็ดี บัดนี้ได้มีองค์การตั้งขึ้นใหม่แทนองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรป เรียกว่า องค์การร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Cooperation and Development ) หรือ OECD สำหรับสัญญาจัดตั้งองค์การโอดีซีดีนี้ ได้มีการลงนามกัน ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1960 โดยรัฐบาลของประเทศออสเตรีย เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักแซมเบิร์ก นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ ปอร์ตุเกส อังกฤษ สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ตุรกี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา สัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1961จุดประสงค์สำคัญขององค์การโออีซีดี มีดังนี้1. เพื่อให้บรรดาประเทศสมาชิกได้มีความเติบโตทางเศรษฐกิจ มีแรงงาน อาชีพ และมาตรฐานการครองชีพให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามรักษาเสถียรภาพทางการคลังไว้เพื่อเป็นการเกื้อกูลต่อการ พัฒนาเศรษฐกิจของโลก2. ระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ให้ประเทศสมาชิกมีโอกาสขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง รวมทั้งในประเทศที่มิได้เป็นสมาชิกด้วย3. ต้องการมีส่วนเกื้อกูลต่อการขยายตัวทางการค้าในรูปพหุภาคี และปราศจากการกีดกันแต่อย่างใด ตามพันธกรณีระหว่างประเทศองค์การสำคัญในองค์การโออีซีดีคือคณะมนตรี ( Council ) ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกทั้งหมด มีคณะกรรมการบริหารรวมทั้งเลขาธิการ สำนักงานใหญ่ขององค์การตั้งอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส [การทูต] | Pacific Charter | คือกฎบัตรแปซิฟิค ซึ่งประกาศ ณ กรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1954 ในโอกาสที่มีการตกลงกันทำสนธิสัญญาป้องกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( Southeast Asia Defense Treaty-SEATO ) ประเทศที่ลงนามเป็นภาคีในสนธิสัญญา คือ ออสเตรีย ฝรั่งเศส นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ไทย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกาสาระสำคัญในสนธิสัญญาดังกล่าว หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า SEATO (ซีโต้) นั้นคือ ทุกประเทศภาคีจะร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมให้พลเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมาตรฐานการครอง ชีพสูงขึ้น มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และมีสวัสดิภาพสังคมที่ดี แต่จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดคามสนธิสัญญาคือ บรรดาประเทศภาคีตกลงที่จะป้องกันหรือตอบโต้ความพยายามใด ๆ ที่จะล้มล้างเสรีภาพที่มีอยู่ในเขตสนธิสัญญา หรือทำลายอธิปไตยหรือบูรณภาพแห่งเขตแดนของประเทศภาคี พูดอย่างสั้น ๆ ก็คือฝ่ายโลกเสรีอันมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ ต้องการกีดกันมิให้ประเทศฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้าไปมีอำนาจครอบงำดินแดนเขต เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างสงครามเย็น (Cold War ) โดยวิธีรุกรานหรือวิธีอื่นใดก็ตาม [การทูต] | regionalism | ภูมิภาคนิยม " เป็นการรวมกลุ่มของประเทศในภูมิภาคบนพื้นฐานของการตระหนักถึงผลประโยชน์ร่วม กันในการพัฒนาและความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการระดมพลังในการปกป้องและเสริมสร้างความก้าวหน้าและสันติภาพความ มั่นคงของแต่ละประเทศและของภูมิภาคโดยส่วนรวม - open regionalism ภูมิภาคนิยมแบบเปิด เป็นกระบวนการ รวมตัวและร่วมมือกันในภูมิภาคเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าซึ่งกันและกัน โดยไม่มีการกีดกันประเทศภายนอก - closed regionalism ภูมิภาคนิยมแบบปิด เป็นกระบวนการ รวมตัวและร่วมมือกันในภูมิภาคเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าซึ่งกันและกัน โดยมีการกีดกันประเทศภายนอก " [การทูต] |
| Why deprive yourself of life's pleasures? | ทำไมถึงกีดกันตัวเอง จากความสุขล่ะ? Wild Reeds (1994) | I'd hate to deprive you of this. | ฉันเกลียดที่จะกีดกันคุณจากการนี้ The Shawshank Redemption (1994) | Everyone tried to get rid of him, but the princess called him in, saying everyone deserves a chance | ทุกคนพยายามที่จะกีดกันเขาออกไป แต่เจ้าหญิงได้ทรงเรียกเค้าเข้ามา เธอกล่าวว่า ทุกคนควรได้รับโอกาสเท่าเทียมกัน Windstruck (2004) | Discrimination! Discrimnaaation~ | โหย กีดกันทางเพศนี่นา กีดกัน! Final Fantasy VII: Advent Children (2005) | Yeah, well, it's rather embarrassing to say but I think Mother rather poisoned the well on that one. | คือว่ามันเร็วเกินไปที่จะพูดอย่างนั้น เพราะคุณแม่ของผมท่านกีดกันเธอ Match Point (2005) | Naturally, her family was completely against it. | ถึงแม้ ครอบครัวของเธอ จะกีดกัน My Girl and I (2005) | Dividing him from her and her from him would only be half as cruel as actually allowing them to be joined in holy matrimony. | ถ้ากีดกันเขาจากหล่อน และหล่อนจากเขาได้ จะเป็นเรื่องทรมานสาหัส.. ดีกว่าปล่อยให้ทั้งคู่ เข้าพิธีแต่งงานกันสุขสันต์ .. Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest (2006) | How can you be so homophobic? | ทำใมถึงกีดกันเรื่องเพศอย่างนี้นะ Eating Out 2: Sloppy Seconds (2006) | I do hope this doesn't keep us from being friends, because i like you, bree. | ฉันหวังว่านี่คงไม่กีดกันเราจากการเป็นเพื่อนนะ เพราะฉันชอบเธอ บรี Smiles of a Summer Night (2007) | You are keeping my grandchildren from me. | คุณกำลังกีดกันเอาหลานไปจากฉันนะ Art Isn't Easy (2007) | Rules designed to make it impossible for women to enter this world. | กฎที่ตั้งใจกีดกันไม่ให้ผู้หญิงเข้ามาในโลกนี้ได้ Ratatouille (2007) | We'll not discriminate great from small. No, we'll serve anyone... | เราจะไม่กีดกันใครเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ไม่ เราจะบริการใครก็ได้... Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street (2007) | I gotta get my boys back but Ian's trying to keep me out. | ผมต้องพาลูกๆกลับ แต่เอียนพยายามกีดกันผม Alvin and the Chipmunks (2007) | Was that sexist? | กีดกันทางเพศเหรอ The Fourth Man in the Fire (2008) | They're really pro-gay. They even have domestic partner benefits. | แถมยังไม่กีดกันเกย์ด้วยนะ มีสวัสดิการให้กับคู่ชีวิตด้วย Loyal and True (2008) | You banned my people from their own land. | แกกีดกันเสรีภาพ.. จากแผ่นดินที่ควรจะเป็นของฉัน! The Breath (2009) | The Pauli exclusion principle means that no two objects can occupy the same space at the same time. | หลักการกีดกันของเพาลี หมายความว่าไม่มีทาง ที่วัตถุ 2 อย่างจะใช้พื้นที่เดียวกัน ในขณะเวลาเดียวกันได้ Momentum Deferred (2009) | The world would fear you, hate you, and exclude you. | โลกนี้ก็จะกลัวนาย, เกลียดนาย และตั้งใจจะกีดกันนายออกไป Orutorosu no inu (2009) | Clemente will block my appointment. | คลาเมนเตจะกีดกัน ตำแหน่งของผมแน่ Gimme Some Truth (2009) | I tried the office, and they're just stonewalling me. | ฉันลองติดต่อไปที่ทำงาน พวกเขาก็เหมือนกีดกันฉัน Scary Monsters and Super Creeps (2009) | "The barriers that keep us apart are nothing compared to the power of true love, Arthur." | "การกีดกันแยกเราออกจากกัน แต่ไม่มีอะไรจะขวางกั้น พลังแห่งรักแท้ได้ อาร์เธฮร์" Sweet Dreams (2009) | You, your girlfriend, and your friends are all racists. | อีวาน บ้าเอ๊ย ปล่อยฉันไป กีดกันผู้คนมากมาย เพียงเพราะ Saw 3D: The Final Chapter (2010) | You've deprived me of my freedom and my home my humanity. | คุณกีดกันความอิสระของฉัน และบ้านของฉัน ความเป็นมนุษย์ของฉัน It Hurts Me Too (2010) | So how can I exclude someone from something | ดังนั้นผมจะไปกีดกันคนที่อยากโชคดีแบบผมบ้าง Investigative Journalism (2010) | I shouldn't have gone behind your back and tried to cut you out of the fashion line. | ฉันไม่ได้ตั้งใจจะ หักหลังเธอ หรือพยายามกีดกันเธอออกจาก วงการแฟชั่น The Empire Strikes Jack (2010) | And then you come back and you shut me out. | แล้วเธอก็กลับมา แล้วก็กีดกันฉันออกไป Dr. Estrangeloved (2010) | She's just trying to k- keep me from seeing you, and you're helping her. | แม่พยายามกีดกันผมไม่ให้เจอพ่อนะครับ แล้วพ่อยังจะไปช่วยเเม่อีก Caballo sin Nombre (2010) | Keep you from an opportunity to get some answers. | จะกีดกันโอกาสที่จะรู้คำตอบ Bad Moon Rising (2010) | Most of them are isolated, which leads them to commit more crimes. | กลับไม่ได้รับการรองรับที่ดี พวกเขาส่วนใหญ่ถูกกีดกัน ทำให้เกิดอาญชญากรรมอีกครั้ง Pleasant Little Kingdom (2010) | I'm not going to deprive Hope of Thanksgiving the way you deprived me. | - ผมไม่อยากกีดกันโฮป จากวันขอบคุณพระเจ้าเหมือนที่พ่อกีดกันผม Meet the Grandparents (2010) | Inequality and discrimination. | ความอยุติธรรมและการกีดกันทางชนชั้น Episode #1.5 (2010) | If they can't control and rule you, they'd rather have you completely discriminated against. | ถึงขึ้นปกครองเองไม่ได้ ขอให้ได้กีดกันก็ยังดี Episode #1.5 (2010) | I won't let you! | ฉันจะกีดกันแกจากแฮชิน! Episode #1.12 (2010) | These are stores that help to support the White Citizens' Council, the council that is dedicated to keeping you and I second-class citizens. | ร้านเหล่านี้สนับสนุนสภาพลเมืองผิวขาว สภาที่อุทิศตนกีดกันคุณกับผม ให้เป็นพลเมืองชั้นสอง The Help (2011) | Our time sense can also be altered by things such as sensory deprivation, overstimulation, and altered states of consciousness. | ความรู้สึกเวลาของเรายังสามารถ เปลี่ยนแปลงได้ โดยสิ่งต่างๆเช่นการกีดกันทาง ประสาทสัมผัส มากกว่ากระตุ้น, Does Time Really Exist? (2011) | How do you keep the tourists away? | ทำไมคุณถึงกีดกัน นักท่องเที่ยวนักล่ะ A Tale of Two Audreys (2011) | I sidelined you. | ผมกีดกันคุณ Ua Lawe Wale (2011) | - All right, we need to find out which cult Porter extracted her from because that's where Jen is right now. | ศาสนาที่พอร์เตอร์กีดกันเธอ จากที่เจนอยู่ ตอนนี้ Ua Lawe Wale (2011) | I think I found something that may help narrow down where Jen was extracted from. | ฉันคิดว่าฉันพบบางอย่าง ที่อาจช่วยให้แคบลง จกาที่กีดกันเจน โอเค Ua Lawe Wale (2011) | So if Jen was born into a cult, her only chance of survival would actually be getting extracted. | ดังนั้นหากเจนเกิด เข้าสู่ศาสนา โอกาสเดียวของเธอ ของการอยู่รอด จริง ๆ\ จึงได้รับกีดกัน Ua Lawe Wale (2011) | But he started cutting me out. You know how that feels. | แต่เขาเริ่มกีดกันผม คุณก็รู้ มันรู้สึกยังไง Countdown (2011) | The more you step on her, the more she'll want to fight back. | ไม่รู้หรือว่ายิ่งคุณพยายามกีดกันความสัมพันธ์ของคนสองคนมากเท่าไร ความรักของพวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นน่ะ? Episode #1.15 (2011) | It looked to me like you pushed him away. | แต่ดูเหมือนว่าแม่เองแหละที่คอยกีดกันคุณปู่ Balcoin (2011) | You have singled me out since day one. | คุณกีดกันฉันตั้งแต่วันแรก The Art of Making Art (2011) | This--this gift, this curse, whatever it is-- it consumes you and blots out everything else-- friends, family, everything. | พรสวรรค์หรือคำสาบ อะไรก็ตามที่ผมมี มันจะกัดกินตัวคุณและกีดกันทุกสิ่ง เพื่อน, ครอบครัว ออกจากคุณ Witch's Lament (2011) | First off, you are on restriction from my inner Lamborghini. | อย่างแรกเลย, คุณถูกกีดกัน จากภายในรถแลมโบกินี่ของฉันแล้ว From Childhood's Hour (2011) | And if you have so much hatred, it's because you're tryin to fill a hole where he was supposed to go. | และเหตุผลที่คุณมี ความเกลียดในใจมากเหลือเกิน ก็เพราะคุณพยายามกีดกัน ในสิ่งที่ลูกคุณน่าจะทำได้ Advanced Gay (2011) | Dan has been trying to keep us apart so you can have you all to himself. | แดนพยายามกีดกันให้เราแตกกัน เพื่อที่ว่าเขาจะได้แย่งคุณเป็นของเขาเอง The Princess Dowry (2012) | I would not deprive everyone fair turn! | ฉันจะไม่กีดกัน ทุกคนหันยุติธรรม! Empty Hands (2012) | Ever since I met you, people have been trying to keep us apart. | ตั้งแต่ฉันพบคุณ ผู้คนพยายามกีดกันเรา I Love You, Tommy Brown (2012) |
| การกีดกัน | [kān kītkān] (n) EN: obstruction ; prevention ; exclusion ; barrier ; segregation FR: barrière [ f ] | การกีดกันการค้า | [kān kītkān kānkhā] (n, exp) EN: barrier to trade FR: barrière commerciale [ f ] | กีดกัน | [kītkan] (v) EN: obstruct ; keep from ; block ; bar ; prevent |
| able-bodism | (n) การกีดกันในเรื่องสภาพร่างกาย, Syn. ableism | ableism | (n) การกีดกันในเรื่องสภาพร่างกาย, Syn. able-bodism | escort from | (phrv) คุ้มกันให้พ้นจาก, See also: กีดกันจาก | damp | (vt) ยับยั้ง, See also: สกัดกั้น, กีดกัน, Syn. inhibit | foreclose | (vt) ขัดขวาง, See also: กีดกัน, ป้องกัน, Syn. exclude, bar, Ant. admit, include | hinder from | (phrv) ยับยั้ง, See also: ทำให้ชักช้า, กีดขวาง, กีดกัน, Syn. prevent from | hinder | (vi) ขัดขวาง, See also: กีดกัน, กั้น, ขัดจังหวะ, เป็นอุปสรรค | hinder | (vt) ขัดขวาง, See also: กีดกัน, กั้น, ขัดจังหวะ, เป็นอุปสรรค, Syn. block, impede, obstruct, Ant. advance, promote | segregation | (n) การแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรม, See also: การกีดกัน, การแบ่งแยกสีผิว, การแบ่งตามพันธุกรรม, Syn. discrimination, isolation, separation, seclusion | sexism | (n) การแบ่งแยกเพศ, See also: การกีดกันเพศ, Syn. prejudice | sexist | (n) ผู้แบ่งแยกเพศ, See also: ผู้กีดกันทางเพศ, Syn. bigot, chauvinist, misogynist | stymie | (vt) ขัดขวาง, See also: ขวางกั้น, สกัดกั้น, กีดกัน, Syn. hinder, block, thwart, frustrate, confound, stymy | stymy | (vt) ขัดขวาง, See also: ขวางกั้น, สกัดกั้น, กีดกัน, Syn. hinder, block, thwart, frustrate, confound, stymie | thwart | (vt) ขัดขวาง, See also: ทำให้ไม่สำเร็จ, สกัดกั้น, กีดกัน, ต่อต้าน, Syn. frustrate, obstruct, stop |
| deprive | (ดิไพรฟว') vt. ถอดถอน, ทำให้ไม่ได้รับ, ตัดสิทธิ, กีดกัน., See also: deprivable adj. ดูdeprive depriver n. ดูdeprive, Syn. bereave | exclusive | (เอคซฺคลู'ซิฟว) adj. ซึ่งกีดกัน, แต่ผู้เดียว, ผูกขาด, เฉพาะตัว, อย่างเดียว, See also: exclusiveness n. ดูexclusive exclusivity n. ดูexclusive, Syn. restricted | foil | (ฟอยลฺ) { foiled, foiling, foils } n. แผ่นโลหะบาง, กระดาษหุ้มตะกั่ว ที่ใช้ห่อบุหรี่, แผ่นบาง, ฉาบปรอทหลังกระจก, โลหะที่เป็นฐานของเพชรพลอยที่เจียระไนแล้ว. ดูairfoil , ดูhydrofoil , ดาบปลายทู่ชนิดหนึ่ง, การฟันดาบด้วยดาบดังกล่าว vt. ป้องกันความสำเร็จ, กีดกัน, สกัดกั้น, ทำ | hinder | (ฮิน'เดอะ) v. กีดขวาง, กีดกัน, หยุดยั้ง. adj. ด้านหลัง, ข้างหลัง, See also: hinderer n. | sexist | (เซค'ซิส๎ทฺ) n. ผู้แบ่งแยกเพศ, ผู้กีดกันเพศ |
| block | (vt) สกัด, กีดกัน, ขัดขวาง, ต้าน, ปิดล้อม | deprive | (vt) เอาออก, ตัดสิทธิ์, ถอดถอน, กีดกัน, ถอดยศ, ถอนสิทธิ | discourage | (vt) กีดกัน, ทำให้ท้อ, ทำให้หมดกำลังใจ | exclude | (vt) กีดกัน, เอาออก, แยกออก, ไล่ออก | exclusion | (n) การเอาออก, การไล่ออก, การกีดกัน, การยกเว้น | foil | (vt) กีดกัน, ป้องกัน, สกัดกั้น, ทำให้แพ้, หยุดยั้ง | occlude | (vt) อุด, ปิดกั้น, ปิดบัง, กีดกัน |
| Compartment syndrome | เงื่อนไขที่เจ็บปวดและอันตรายที่เกิดจากการสะสมของความดันจากเลือดออกภายในหรือบวมของเนื้อเยื่อ ความดันลดการไหลเวียนของเลือด, กีดกันกล้ามเนื้อและเส้นประสาทของการบํารุงที่จําเป็น.อาการอาจรวมถึงอาการปวดอย่างรุนแรงความรู้สึกของหมุดและเข็มและความอ่อนแอของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ สําหรับกรณีที่รุนแรงของโรคช่องจําเป็นต้องผ่าตัดฉุกเฉิน |
| 故障 | [こしょう, koshou] การชำรุดเสียหาย ความขัดข้อง สิ่งกีดกันหรือปัญหาที่ทำให้หยุดชะงัก |
| |
เพิ่มคำศัพท์
ทราบความหมายของคำศัพท์นี้? กด [เพิ่มคำศัพท์] เพื่อใส่คำนี้พร้อมความหมาย เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผู้ใช้ท่านอื่น ๆ
Are you satisfied with the result?
Discussions | | |